ผลวิจัยนิด้าชี้กทม.มีสารก่อมะเร็งในอากาศสูงกว่ามาตรฐาน กว่า 2เท่า

วันอังคารที่ 30 เมษายน 2556 เวลา 14:05 น.

ศูนย์วิจัยภัยพิบัติ นิด้า เผยวิจัยพบกรุงเทพฯ มีสารก่อมะเร็งในอากาศสูงกว่ามาตรฐานกว่า 2 เท่า โดยเฉพาะประชาชนย่านเคหะชุมชนดินแดง สถานีตำรวจโชคชัย 4และการไฟฟ้าธนบุรี เสี่ยงสุด

                 รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช     พงษ์เพียจันทร์     ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า     เปิดเผยว่า  จากการทำวิจัยโดยนำข้อมูลตัวอย่างค่าฝุ่นละอองในอากาศที่มีขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) ของกรมควบคุมมลพิษ  จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศทั้ง 7 สถานี ได้แก่ การเคหะชุมชนคลองจั่น โรงเรียนนนทรีวิทยา โรงเรียนสิงหราชพิทยาคม การไฟฟ้าย่อยธนบุรี สถานีตำรวจนครบาลโชคชัย4 การเคหะชุมชนดินแดง และโรงเรียนบดินทรเดชา ตั้งแต่ปี 2549-2552  มาตรวจวิเคราะห์ความเสี่ยงจากสารก่อมะเร็งจากฝุ่นละอองในอากาศโดยเครื่อง shimadzu gcms qp2010 ultra  พบว่า ค่าเฉลี่ยระดับความเข้มข้นของสารก่อมะเร็ง PAHs ในฝุ่น PM10  อยู่ที่ระดับ 554   พิโคกรัม    หรือเกินค่ามาตรฐานถึง 2.2 เท่า เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานความปลอดภัยของ UK-EPAQS  ที่ควรมีไม่เกิน 250 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
               “จากการนำค่าเฉลี่ยระดับความเข้มข้นสารก่อมะเร็งเปรียบเทียบกับเมืองต่างๆ ในเอเชีย จะพบว่า กรุงเทพฯ จัดอยู่ในอันดับ 13 ของเมืองที่ประชาชนมีความเสี่ยงที่ได้รับสารก่อมะเร็งจากฝุ่นละอองในอากาศเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยเมือง Baoji และเมือง Beijing ของจีน   เป็นเมืองที่มีความเสี่ยงได้รับสารก่อมะเร็งในอากาศสูงสุด โดยมีค่าเกินมาตรฐานความปลอดภัยของ UK-EPAQS ถึง 98 เท่า และ 33 เท่า”   รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช กล่าว
                 สำหรับจุดที่มีค่าความเข้มข้นของสารก่อมะเร็งในอากาศสูงสุดจากจุดตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษทั้ง 7 จุด พบว่า การเคหะชุมชนดินแดงมีค่าเฉลี่ยความเข้มข้นอยู่ที่ 990 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร   หรือสูงกว่าค่ามาตรฐาน 3.96 เท่า   รองลงมาได้แก่ สถานีตำรวจโชคชัย 4 อยู่ที่  704 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร    การไฟฟ้าธนบุรี อยู่ที่ 603  พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร  ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่ามาตรฐาน 2.8 และ 2.4 ตามลำดับ   ขณะที่สภาพอากาศบริเวณโรงเรียนนนทรีวิทยา มีค่าความเข้มข้นของสารก่อมะเร็งเฉลี่ยทั้งปีต่ำสุดที่ 292 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
                  รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช     กล่าวอีกว่า  นอกจากการวัดความเข้มข้นของสารก่อมะเร็งแล้ว  ยังสามารถประเมินความเสี่ยงในระดับบุคคลได้ด้วย ว่า   ประชาชนในพื้นที่  ที่มีมลพิษทางอากาศสูงนั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดจากการสูดดมมลพิษในอากาศมากน้อยเพียงใด  โดยใช้ข้อมูลด้านเพศ อายุ น้ำหนัก มาคำนวณร่วมกับข้อมูลค่าความเข้มข้นของสารก่อมะเร็งในอากาศ    ซึ่งต้องใช้ซอฟแวร์ ‘นิบบร้า’ ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัตินิด้า และบริษัทพาราไซแอนติฟิค จำกัด เป็นผู้พัฒนาขึ้น  เพื่อประมวลผลและ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำซอฟแวร์มาใช้ในการประมวลผลเพื่อหาความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดของแต่ละคน   เนื่องจากแต่ละคนมีความเสี่ยงและระยะเวลาการเกิดโรคมะเร็งปอดที่แตกต่างกัน
                  อย่างไรก็ดี  คณะผู้ทำวิจัยฯ ยังได้นำค่าเฉลี่ย PAHs ที่จุดตรวจวัดทั้ง 7 จุดของกรุงเทพฯ มาคำนวณในแบบจำลองการจำแนกสัดส่วนแหล่งกำเนิด  พบว่า ร้อยละ 80 ของสารก่อมะเร็งในอากาศของพื้นที่กรุงเทพฯ มีสาเหตุจากไอเสียของยานพาหนะ    แม้ว่าที่ผ่านมาภาครัฐได้รณรงค์ให้ผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัวปรับเปลี่ยนมาใช้แก๊สโซฮอลล์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดมลพิษในอากาศ   แต่ค่าเฉลี่ยของสารก่อมะเร็งในอากาศยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง    ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณรถยนต์บนท้องถนน   ส่งผลให้ความเข้มข้นของสารก่อมะเร็งในอากาศเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย    ดังนั้น แทนที่รัฐบาลจะกระตุ้นให้ประชาชนในเมืองใหญ่มีรถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น  ซึ่งยิ่งทำให้สร้างมลพิษทางอากาศมากขึ้น และประชาชนมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารก่อมะเร็งเพิ่มสูงขึ้น  ภาครัฐควรหันกลับมารณรงค์ให้ประชาชนใช้บริการระบบขนส่งมวลชนเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว.

ขอขอบคุณ
ที่มาข้อมูลและภาพประกอบ
http://www.dailynews.co.th/technology/201056