นักวิจัยทหารโชว์ยูเอวี2หางลำแรกของโลก

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2556 เวลา 18:03 น.

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศโชว์นวัตกรรมอากาศยานใบพัด2หางลำแรกของโลก พร้อมส่งมอบให้กองทัพเรือทดสอบใช้งาน ตั้งเป้าอีก 1 ปี ระบบสมบูรณ์สามารถบังคับได้ผ่านคอมพิวเตอร์

วันนี้ (9 ก.ย.) ที่สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหาร กองทัพเรือ  ได้มีพิธีส่งมอบต้นแบบอากาศยานไร้นักบิน ขึ้น-ลงทางดิ่ง ให้กับกองทัพเรือ โดยมีพลเอกสมพงศ์ มุกดาสกุล รองผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) หรือสทป. เป็นผู้ส่งมอบ และพลเรือตรีหม่อมหลวงบวรลักษณ์ กมลาศน์ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหาร กองทัพเรือเป็นตัวแทนรับมอบงานวิจัยดังกล่าว พร้อมทั้งได้แสดงการบินโชว์ของอากาศยานไร้คนขับหรือยูเอวี ใบพัดหาง 2 ด้านที่มีรูปทรงแปลกตา ให้กับสื่อมวลชนที่มาทำข่าวได้ดูเป็นตัวอย่าง

พลเอกสมพงศ์ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการวิจัยร่วมระหว่างสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหาร กองทัพเรือ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ บริษัท เสรีสรรพกิจ จำกัด และ บริษัท กษมาเฮลิคอปเตอร์ จำกัด เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2554 เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาสร้างต้นแบบเฮลิคอปเตอร์บังคับวิทยุสำหรับสนับสนุนการปฏิบัติการทางเรือ ที่สามารถขึ้น-ลง ดาดฟ้าของเรือได้ ปัจจุบันต้นแบบประสบความสำเร็จ จึงส่งมอบให้กองทัพเรือนำไปทดสอบใช้งานและประเมิณผลเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับปรับปรุงใช้งานจริงต่อไป

ด้านพลเรือเอกยุทธนา ฟักผลงาม รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ริเริ่มโครงการดังกล่าวเปิดเผยว่า ผลงานวิจัยครั้งนี้ มีความเป็นนวัตกรรมตั้งแต่รูปแบบของเฮลิคอปเตอร์บังคับวิทยุ ที่มีใบพัดหาง 2 ด้าน ซึ่งถือว่าเป็นลำแรกของโลกที่มีลักษณะดังกล่าว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงกรณีใบพัดขัดข้อง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการตกของเฮลิคอปเตอร์ สามารถบินได้ทั้งแบบโปรแกรมการบินอัตโนมัติ หรือแบบใช้คนบังคับผ่านคลื่นวิทยุ น้ำหนักรวม 35 กิโลกรัม ขึ้นลงได้ในแนวดิ่ง ทั้งบนบกและบนดาดฟ้าเรือ มีรัศมีควบคุมการบินและการส่งภาพ 50 กิโลเมตร เพดานบิน 600 เมตร สามารถบินได้นานประมาณ 1 ชั่วโมง โดยใช้น้ำมันเบนซิน 95 เป็นเชื้อเพลิง

พลเรือเอกยุทธนา กล่าวต่อว่าสำหรับการพัฒนาในเฟสสอง ตั้งเป้า ภายใน 1 ปีต่อจากนี้ จะสามารถรวบรวมระบบต่าง ๆ ที่แต่ละภาคส่วนพัฒนาขึ้นมาให้เป็นระบบที่สมบูรณ์แบบ โดยจะพัฒนาให้สามารถบินได้นานถึง 2.5 ชั่วโมงและสามารถควบคุมการบินได้ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด

ขอขอบคุณ
ที่มาข้อมูลและภาพประกอบ
http://www.dailynews.co.th/technology/231856