“สาหร่ายเตาสามารถนำมาทำแผ่นมาส์กหน้าเสริมความงามได้ แต่ทีมวิจัยไม่สามารถเพาะเลี้ยงได้ต้องให้ชาวบ้าน ต.นาคูหา อ.เมือง จ.แพร่ เพาะเลี้ยงส่งมาให้เพราะเป็นพื้นที่เดียวที่ให้ความร่วมมือดีมากในการทำวิจัยไม่เหมือนกับชุมชนอื่นปฏิเสธไม่สนใจร่วมทำโครงการ”

ดร.ดวงพร อมรเลิศพิศาล คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เล่าถึงที่มาโครงการมาส์กหน้าจากสาหร่ายเตาหรือสไปโรไจรา (Spirogyra) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่ต้องการให้วิจัยเพิ่มมูลค่าพืชอาหารให้เป็นเครื่องสำอางเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกร... จากเดิมที่ชาวบ้านเก็บสาหร่ายสด ขายได้แค่กองละ 10 บาท เพิ่มมาเป็น กก.ละ 3,500 บาท

“เรารับซื้อจากชาวบ้านจะเป็นสาหร่ายแห้ง ซึ่งสาหร่ายสด 10 กก.ตากแห้ง 3-4 วัน จะเหลือ 1 กก.เท่านั้น ให้ราคาสูงเพราะต้องการสนับสนุนเกษตรกรให้มีรายได้ เราทำงานวิจัยไม่ได้หวังกำไรแต่ต้องการให้ชาวบ้านมีอาชีพมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ชาวบ้านมาส่งสาหร่ายแห้งแต่ละครั้งบางรายรับเงินกันเป็นหมื่น เดือนละ 2 ครั้ง”

ส่วนกระบวนการทำสาหร่ายแห้งให้เป็นที่มาส์กหน้า ดร.ดวงพร อธิบายว่า หลังจากรวบรวมสาหร่ายแห้งที่มาส่งจะนำไปอบอีกครั้งที่อุณหภูมิ 50ํ c เพื่อให้แห้งสนิท จากนั้นนำสาหร่ายแห้งใส่น้ำให้ท่วม ต้มให้ร้อนต่ออีก 3 ชม. ถึงจะกรองแยกกากนำไปผ่านกระบวนการระเหยด้วยตัวทำละลาย โดยใช้เครื่องโรตารี่ อีวอปาเลเตอร์ เพื่อสกัดเอาสารสำคัญมาทำเจล...ส่วนน้ำที่เหลือแยกจากกากจะนำมาผ่านการระเหย ด้วยวิธีเดียวกัน

จากนั้นนำสารสกัดที่ได้จากกากและน้ำต้มไปทำให้แห้งจะได้เป็นผง นำไปผสมกับสารสกัดบำรุงผิวสูตรเฉพาะที่ทีมวิจัยคิดค้นขึ้น จะได้ผลผลิตออกมาเป็นเจล นำไปเทใส่บล็อกขึ้นรูปออกมาเป็นสาหร่ายเตามาส์กหน้า ซึ่งมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบยับยั้งเอนไซม์ “ไทโรสิเนส” ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิด ฝ้า กระ จุดด่างดำและรอยเหี่ยวย่น

ที่สำคัญใช้เสร็จแล้วซากที่เหลือเอาไปใส่ต้นไม้กลายเป็นปุ๋ยได้อีกต่างหาก

จากแนวคิดนี้นอกจากจะส่งผลให้มาส์กหน้าสาหร่ายเตาได้รับรางวัลโกลด์อวอร์ด จากงานประกวดนวัตกรรมระดับนานาชาติ ที่ประเทศเกาหลี (Korea International Women’s Invention Exposition 2013, KIWIE) และยังทำให้แดนโสมเจ้าแม่แห่งเครื่องสำอางต้องมาจีบติดต่อขอซื้อผลิตภัณฑ์ เสริมความงามจากสาหร่ายเตา เมืองแพร่ ไปจำหน่ายอีกด้วย.