นักวิจัยจุฬาฯ รวบรวมประวัติ “ลิเก” ในประเทศไทยขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ

CU_P026713

ลิเก” เป็นศิลปะการแสดงที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน มีพัฒนาการที่สลับซับซ้อน โดยมีการนำละครมาผสมผสานและมีพัฒนาการด้านการแต่งกาย ดนตรี การร้อง การรำ บวกเข้ากับแนวคิดและภูมิปัญญาชาวบ้าน จนกลายเป็นศิลปะการแสดงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประวัติของลิเกแบ่งออกได้เป็น ๖ ยุคหลัก คือ ลิเกสวดแขก ลิเกออกภาษา ลิเกทรงเครื่อง ลิเกลูกบท ลิเกเพชร และลิเกลอยฟ้า

ผศ.ดร.อนุกูล โรจนสุขสมบูรณ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย บัณฑิตศึกษาและกิจการนิสิต คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งศึกษาวิจัยเรื่อง "ลิเกในประเทศไทย" เปิดเผยถึงงานวิจัยดังกล่าวว่า ได้รับทุนสนับสนุนจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อรวบรวมประวัติความเป็นมาของลิเกเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขาศิลปะการแสดง ในการวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของลิเกในประเทศไทย ซึ่ง ศ.กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ได้ทำการศึกษารวบรวมไว้แล้ว ตนจึงทำการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อยอดเพิ่มเติมตามช่วงระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากประวัติแล้ว ลิเกเริ่มมีพัฒนาการมาตั้งแต่ช่วงปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับการผสมผสานเป็นแม่แบบครั้งแรกคือมาจากละครรำ และมีรากฐานเดิมมาจากราชสำนัก แต่มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องของระยะเวลาและการถ่ายทอดท่ารำ ทำให้ท่ารำมีความหลากหลายขึ้นตามที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
 
งานวิจัยเรื่องนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมรายชื่อศิลปินลิเกในประเทศไทย โดยถือเป็นงานวิจัยเล่มแรกที่ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเช่นนี้ จากการเชิญศิลปินแห่งชาติ ครูบุญเลิศ นาจพินิจ และศิลปินลิเกอาวุโสที่ได้รับการยอมรับหลายท่านมาประชุมสัมมนาร่วมกัน พบว่าปัจจุบันในประเทศไทยมี ๒๗ จังหวัดที่มีศิลปินลิเกพำนักอาศัยและทำการแสดง ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ได้เก็บรวบรวมข้อมูลของศิลปินลิเกใน ๑๐ จังหวัดนำร่อง ทั้งประวัติความเป็นมา ฉายาในการแสดง ภูมิลำเนา ผู้ที่ถ่ายทอดวิชาลิเกให้ ฯลฯ เพื่อขึ้นเป็นทะเบียนรายชื่อหรือทำเนียบศิลปิน ตามเกณฑ์ของคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยศิลปินแห่งชาติ ศิลปินลิเกอาวุโส และผู้แทนของแต่ละจังหวัด คือต้องแสดงลิเกมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบปี เป็นที่ยอมรับทั่วไป และมีอายุตั้งแต่ ๓๕ ปีขึ้นไป รวมทั้งมีการแบ่งเป็นกลุ่มลิเกระดับดาวและระดับครู โดยมีศิลปินลิเกที่ผ่านเกณฑ์ในครั้งนี้ทั้งหมด ๒๘๕ ท่าน
 
สำหรับสถานะของลิเกในยุคปัจจุบัน ผศ.ดร.อนุกูล กล่าวว่า ลิเกนอกจากจะเป็นศิลปะบันเทิงแล้วยังเป็นวิชาชีพที่ใช้หาเลี้ยงตนเองของศิลปิน จึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการแสดงเพื่อความอยู่รอด นอกจากการแสดงทั่วไปในงานวัด งานศพ งานบวช งานเฉลิมฉลองต่างๆ แล้วยังมีการแสดงลิเกตามวิกต่างๆ หรือที่เรียกว่า “ลิเกปิดวิก”ในเขตกรุงเทพมหานครในหนึ่งวันจะมีคณะลิเกที่ทำการแสดงไม่ต่ำกว่า ๒๐ คณะ กระจายตัวอยู่ตามชุมชนตามตลาดต่างๆ และมีกลุ่มผู้ชมที่ติดตามอยู่ อีกทั้งมีการบันทึกการแสดงเป็นแผ่นวีซีดี ออกอากาศบันทึกการแสดงสดทางวิทยุและเคเบิลทีวีหรือที่เรียกกันว่า “ลิเกจานดำ” เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับคณะลิเก

ในส่วนของวัฒนธรรมการชมลิเกที่เรียกว่า “แม่ยก” หรือ “แฟนคลับ” นั้นมีมาช้านานแล้ว นอกจากจะมีการให้พวงมาลัยให้ดอกไม้แก่ศิลปินแล้ว บางคนจะให้ในรูปแบบของทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังพบอยู่ อีกทั้งยังมีการปรากฏตัวของกลุ่มผู้ติดตามชมลิเกในสื่อ โดยมีการจัดทำเว็บไซต์ของกลุ่มผู้ชม เพื่อรวมตัวกันไปชมลิเก

“ลิเกยังสามารถอยู่คู่กับสังคมไทยไปอีกนาน เพราะมีการต่อยอดและมีการถ่ายทอดวิชาลิเกให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานเป็นระยะ และมีการรวมตัวของกลุ่มศิลปินลิเกอย่างเหนียวแน่น จากการสัมภาษณ์ลิเกรุ่นเยาว์พบว่ามีเด็กจำนวนไม่น้อยที่มีความใฝ่ฝันที่จะไปยืนอยู่บนเวที มีแฟนๆมาให้กำลังใจ ได้ออกผลงานเพลงเป็นศิลปินกับค่ายเพลงโดยอาศัยพื้นฐานลิเก จึงเชื่อมั่นได้ว่าวิชาการและวิชาชีพอันเป็นสมบัติของชาตินี้จะไม่สูญหายไปอย่างแน่นอน” ผศ.ดร.อนุกูล กล่าวในที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ