สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกปัจจุบันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การใช้ก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซ LPG ที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบในโรงกลั่นน้ำมัน และจากกระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติ ที่ประกอบด้วยก๊าซโพรเพน และก๊าซบิวเทน มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคครัวเรือน ภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากราคาก๊าซ LPG ที่รัฐควบคุม มีราคาต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นมาก โดยเฉพาะก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือน ซึ่งมีราคาต่ำกว่าก๊าซ LPG ในภาคอื่นๆ จากข้อมูลการใช้ก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนย้อนหลัง 5 ปี (ปี 2551 – 2555) มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี โดยในปี 2555 สัดส่วนการใช้ก๊าซ LPG ของประเทศไทย มีการใช้ในภาคครัวเรือนมากที่สุด เฉลี่ย 41% ของปริมาณการใช้ทั้งหมด หรืออยู่ที่ประมาณ 3,047 พันตันต่อปี
จากความต้องการใช้ก๊าซ LPG เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ จึงต้องมีการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ โดยในปี 2555 สัดส่วนการจัดหาก๊าซ LPG ของประเทศไทย มีการนำเข้าคิดเป็นร้อยละ 22 ของปริมาณการจัดหาก๊าซ LPG ทั้งหมด หรืออยู่ที่ประมาณ 1,730 พันตันต่อปี
ดังนั้น ในปี 2555 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานกระทรวงพลังงาน จึงได้ให้การสนับสนุน สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (สถาบันพลังงาน มช.) ศึกษาวิจัย และดำเนินงาน “โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงานเพื่อทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลวในเชิงพาณิชย์” เพื่อศึกษาระบบผลิตก๊าซชีวภาพอัดสำหรับทดแทนก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อสร้างสถานีจ่ายก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) สำหรับนำไปใช้ทดแทนก๊าซหุงต้มในครัวเรือน ที่นับวันราคาจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงาน มีก๊าซ LPG ใช้อย่างเพียงพอ และลดการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ
รองศาสตราจารย์ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ (สถาบันพลังงาน มช.) ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบัน ศักยภาพการผลิตก๊าซชีวภาพของทั้งประเทศไทยทั้งภาคปศุสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรมและชุมชน มีถึง 1,170 ล้าน ลบ.ม./ปี ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย จากศักยภาพการผลิตก๊าซชีวภาพดังกล่าว สามารถนำเอาก๊าซชีวภาพที่ได้จากการหมักของเสีย หรือของเหลือใช้ เช่น ผลผลิตการเกษตรหรือทางปศุสัตว์มาปรับปรุงคุณภาพเพื่อผลิตก๊าซ CBG และพัฒนาคุณภาพให้ใกล้เคียงกับก๊าซ LPG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีหลักการคือ การเพิ่มองค์ประกอบของก๊าซมีเทนให้มีปริมาณมากขึ้น โดยการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) และความชื้นลง เพื่อผลิตเป็นก๊าซไบโอมีเทนอัด หรือ CBG โดยสถานีไบโอมีเทนอัดต้นแบบนี้ ใช้เทคโนโลยีระบบผลิตก๊าซไบโอมีเทนด้วยวิธีดูดซึมด้วยน้ำ ที่ความดัน 4 barg สามารถผลิต CBG ได้ถึง 420 กิโลกรัม/วัน หรือ 153,300 กิโลกรัม/ปี โดยมีราคาต้นทุน 12 บาทต่อกิโลกรัม สามารถมาทดแทนก๊าซหุงต้มได้ถึง 133,000 กิโลกรัม/ปี คิดเป็นมูลค่าถึง 3,308,000 บาท/ปี (คิดที่ราคา LPG 24.82 บาทต่อกิโลกรัม) และจากการทดสอบก๊าซ CBG พบว่ามีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับก๊าซ LPG สามารถใช้ทดแทนกันได้ ซึ่งทางสถาบันพลังงาน มช. จะดำเนินการทดสอบใช้งานจริงในครัวเรือนหรือชุมชนต้นแบบจำนวนไม่น้อยกว่า 100 ครัวเรือน เพื่อประเมินผลและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้บริโภคอื่นๆ ที่สนใจ เพื่อนำปรับพัฒนาและประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์ต่อไป
รศ.ประเสริฐ กล่าวต่อว่า การดำเนินการที่ผ่านมา สถาบันฯ ได้คัดเลือกฟาร์มปศุสัตว์ที่มีศักยภาพในการนำก๊าซชีวภาพมาผลิตเป็นก๊าซ CBG และเป็นฟาร์มที่อยู่ใกล้ชุมชน ซึ่งได้รับความร่วมมือด้วยดีจาก บริษัท รวมพรมิตรฟาร์ม จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 252/1 ม.1 ถนนเลียบคลองชลประทาน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ ที่มีระบบผลิตก๊าซชีวภาพขนาด 1,000 ลูกบาศก์เมตร โดยดึงก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ในภายในฟาร์มมาปรับปรุงคุณภาพเพื่อผลิตเป็นก๊าซ CBG ณ สถานีจ่ายก๊าซ และอัดก๊าซ CBG แจกจ่ายให้แก่ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ พร้อมมอบเตาแก๊ส CBG ฟรี จำนวนไม่น้อยกว่า 100 ครัวเรือน เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงใช้ในการหุงต้มในครัวเรือน โดยได้ทดสอบก๊าซ CBG เป็นเชื้อเพลิงทดสอบใช้กับเตาแก๊สหลายๆ แบบ เพื่อเทียบกับก๊าซหุ้งต้ม (LPG) พบว่าเตาแก๊สแรงดันสูงที่ความดัน 1.2 bar มีเหมาะสมในการนำมาใช้งานจริงและมีลักษณะเปลวไฟ และให้อัตราประสิทธิภาพความร้อนที่ใกล้เคียงกับก๊าซหุงต้ม (LPG) มากที่สุด ส่วนถังบรรจุก๊าซใช้ขนาด 45 ลิตร ปัจจุบันมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 82 ครัวเรือน นับเป็นชุมชนต้นแบบแห่งแรกของประเทศ ที่จะเปลี่ยนมาใช้ชุดถังบรรจุก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) สำหรับใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในครัวเรือนและในเชิงพาณิชย์ต่อไป
ด้าน นายชาญวิทย์ เวชชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท รวมพรมิตรฟาร์ม จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกจาก มช. ให้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อนำมูลไก่ไปผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ ซึ่งปัจจุบันได้นำก๊าซชีวภาพไปผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าใช้ภายในฟาร์มได้ประมาณ 25,200 กิโลวัตต์/เดือน คิดเป็นมูลค่า 100,800 บาท และแจกจ่ายให้ชุมชนใกล้เคียงใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนก๊าซหุงต้ม (LPG) จำนวน 82 ครัวเรือน
“ปัจจุบันบริษัทฯ มีปริมาณมูลไก่ประมาณ 15 ตันต่อวัน สามารถผลิตก๊าซชีวภาพ ได้วันละ 600 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งการเข้าร่วมโครงการฯ ดังกล่าวทำให้บริษัทฯ สามารถนำก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้มาใช้เป็นพลังงานทดแทนช่วยลดค่าใช้จ่าย และยังสามารถช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและกลิ่นเหม็นจากมูลไก่ ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี” นายชาญวิทย์ กล่าว
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ http://www.prcmu.cmu.ac.th/perin_detail.php?perin_id=574