ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น เค้ก คุกกี้ ขนมปัง เป็นที่นิยมของผู้บริโภคนั้น ล้วนทำมาจากแป้งสาลี ทำให้ความต้องการแป้งสาลีสูงมากอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากแป้งสาลีต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยสูญเสียเงินตราในการนำเข้าคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี ฉะนั้น กรมวิชาการเกษตร จึงได้ศึกษา วิจัยพืชที่มีศักยภาพสามารถผลิตเป็นแป้งขึ้นมาทดแทนแป้งสาลี
ดร.จารุวรรณ บางแวก นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า จากที่ต้องสูญเสียเงินตราในการนำเข้าแป้งสาลีจากต่างประเทศจำนวนมากในแต่ละปี ทำให้กรมวิชาการเกษตร ตระหนักว่าถ้าสามารถนำแป้งที่ผลิตจากพืชชนิดอื่นที่มีในประเทศไทยขึ้นมาทดแทนแป้งสาลีได้ ก็จะช่วยลดปริมาณการนำเข้าแป้งสาลีได้ ที่สำคัญยังสามารถเพิ่มมูลค่าของพืชที่เกษตรกรปลูกได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบว่าแป้งพืชที่มีศักยภาพสามารถทดแทนแป้งสาลีได้ 100% ได้แก่ แป้งจากบัว และแป้งจากมันเทศ
โดยเฉพาะแป้งบัวที่ทำจากเมล็ดบัวหลวง มีคุณสมบัติเด่นที่มีเนื้อเบา ทำให้แป้งฟู และมีปริมาณไขมันสูงทำให้เมื่อนำมาทำผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะทำเค้ก วอฟเฟิล โดนัท หรือแพนเค้ก จะมีความเนียน ละเอียด และมีความนุ่มนวล ส่วนแป้งมันเทศนั้นเป็นแป้งที่มีความหวาน ทำให้สามารถลดปริมาณน้ำตาลในการทำผลิตภัณฑ์ได้ นอกจากนั้น แป้งมันเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนทซึ่งเป็นสารทำลายอนุมูลอิสระ ต่อต้านการเกิดมะเร็งได้ ซึ่งแป้งพืชทั้ง 2 ชนิดนี้ ไม่เพียงแต่สามารถนำมาทดแทนแป้งสาลีได้สมบูรณ์ 100% เท่านั้น ยังมีความโดดเด่นในเรื่องของแป้งเพื่อสุขภาพ เหมาะกับผู้บริโภคที่เป็นโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนที่ต้องการบริโภคเบเกอรี่ได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งผู้บริโภคที่แพ้สารกลูเตน (Gluten) ที่มาจากแป้งสาลีก็หันมาบริโภคแป้งบัวหรือแป้งมันเทศนี้ได้เช่นกัน
จากการนำแป้งทั้ง 2 ชนิดมาทดลองทำเบเกอรี่และอาหารที่ทำจากแป้งสาลีชนิดต่างๆ ได้แก่ เค้ก ขนมปัง โดนัท วอฟเฟิล แพนเค้ก ซาลาเปา พาสต้า โดยดัดแปลงสูตรจากที่ใช้แป้งสาลีมาใช้แป้งบัวและแป้งมันเทศแทน พบว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้มีลักษณะเนื้อสัมผัส ความฟู ความนุ่ม รสชาติใกล้เคียงกับการใช้แป้งสาลี และเมื่อให้ผู้บริโภคกว่า 500 ราย ทดสอบก็ยืนยันว่าคุณภาพเป็นที่ยอมรับทั้งด้านรูปร่าง รสชาติ กลิ่น สรุปว่าผู้บริโภคโดยรวมมีความชื่นชอบแป้งพืชที่นำมาทดแทนแป้งสาลี
นอกจากนี้ ยังมีแป้งกล้วย ที่ทำจากกล้วยดิบ สามารถทดแทนแป้งข้าวเจ้า เหมาะสำหรับใช้เป็นแป้งทอดกรอบ ชุบแป้งทอดซึ่งจากการทดลองใช้แป้งกล้วยทำขนมดอกจอกให้ผลดีทั้งรสชาติและความกรอบ ทั้งนี้ คาดว่าแป้งกล้วยน่าจะช่วยเกษตรกรในการเก็บรักษาวัตถุดิบได้นานกว่าการเก็บรักษาผลกล้วยสด เพราะในยามเกิดอุทกภัยหรือกรณีที่ไม่สามารถเก็บกล้วยสุกได้ เกษตรกรยังมีทางที่จะเพิ่มมูลค่าผลผลิตในการนำมาแปรรูปเป็นแป้งกล้วยได้
ดร.จารุวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า แป้งพืชที่นำมาทดลอง เป็นแป้งจากพืชที่ปลูกในประเทศทั้งนั้น ซึ่งพืชอาจมีปัญหาราคาถูก และผลผลิตตกต่ำ เมื่อนำมาผลิตเป็นแป้งก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าและยังเป็นการใช้ประโยชน์จากพืชได้มากกว่าการนำไปต้ม นึ่ง เผา ซึ่งกรมวิชาการเกษตรพร้อมจะขยายผลการผลิตแป้งพืชทั้ง 3 ชนิดนี้ ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ปลูกพืชดังกล่าว เนื่องจากวิธีการทำแป้งพืชไม่ยุ่งยาก เกษตรกรสามารถทำได้เอง เพียงแค่เก็บผลผลิตมาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นและตากให้แห้ง จากนั้นนำมาบดละเอียดก็จะได้แป้งพืชที่ใช้ทดแทนแป้งสาลีและแป้งข้าวเจ้า เกษตรกรจะรวมกลุ่มกันทำแป้งเพื่อส่งให้กับร้านเบเกอรี่หรือโรงงานอุตสาหกรรม หรือจะทำเป็นผลิตภัณฑ์เบเกอรี่เองในลักษณะสินค้าโอทอปของชุมชนก็สามารถทำได้ จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตผลทางการเกษตรและยังสร้างรายได้เพิ่มให้กับตนเองด้วย
“ขอเชิญชวนผู้บริโภคที่นิยมรับประทานเบเกอรี่ให้หันมาลองชิมเบเกอรี่ที่ทำจากแป้งบัวและแป้งมันเทศ รวมถึงแป้งกล้วยด้วย เพราะแป้งพืชเหล่านี้มีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่สำคัญยังได้ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชเหล่านี้ รวมถึงช่วยลดปริมาณการนำเข้าแป้งสาลี ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศได้ปีละหลายล้านบาท” ดร.จารุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
ขอขอบคุณข้อมูล