จากรายงานสุขภาพคนไทย 2552 โดย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล (วปส.) ที่อ้างอิงจาก International Health Policy Program 2008, National Health Accounts in Thailand (1994-2005) ระบุว่า ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2538 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนไทยต่อหัวอยู่ที่ 2,486 บาท/คน ทว่าในปี 2548 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนไทยกระโดดเพิ่มขึ้นมาเป็น 3,974 บาท/คน และเมื่อศึกษาถึงข้อมูลงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ ในปี 2551 พบว่ามีค่าใช้จ่ายถึงร้อยละ 6.48 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายด้านยาถึงร้อยละ 3.01 หรือคิดเป็นร้อยละ 46.45 ของรายจ่ายด้านสุขภาพ นอกจากนี้ เมื่อคิดค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายด้านยาต่อ GDP ที่ใช้งบประมาณด้านสุขภาพระหว่างปี 2547 – 2551 พบว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 44.55 ซึ่งแนวโน้มของข้อมูล คาดว่าจะมีรายจ่ายด้านยาจะมีค่าร้อยละที่สูงขึ้นและถือเป็นรายจ่ายหลักของงบประมาณของประเทศในอนาคต
ทั้งนี้ หากมีระบบการบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ที่เหมาะสมตามหลักการออกแบบและการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ที่เป็นการประยุกต์ระบบของหน่วยงาน ด้านคน เทคโนโลยี กิจกรรม ข้อมูลข่าวสาร และทรัพยากรเข้าด้วยกัน จะสามารถทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศลดลง โดยเฉพาะ “ค่าใช้จ่ายด้านคลังสินค้าและการจัดคลังสินค้า” ทั้งในหน่วยบริการ เช่น โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) โรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.) ฯลฯ และภายนอกหน่วยบริการในกรณีที่มีการจัดยาและเวชภัณฑ์ในคลังยากลางระดับเขตบริการสุขภาพ
แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลในสถานพยาบาล แต่ก็ยังพบปัญหาด้านคุณภาพและความครอบคลุมของข้อมูล ความไม่ครบถ้วนของข้อมูลโดยเฉพาะจากภาคเอกชน ความไม่ถูกต้องของข้อมูลที่มาจากระบบรายงานของสถานพยาบาล ความไม่ทันเวลาของข้อมูล ปัญหาความซ้ำซ้อนและการแยกส่วนของระบบข้อมูล ทำให้ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน จึงมิได้ถูกนำมาใช้ในการกำหนดนโยบายด้านสุขภาพของปัจจุบันและของอนาคตได้ ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่ต้องนำมาพัฒนาการออกแบบระบบสารสนเทศด้านสุขภาพของประเทศต่อไป
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในฐานะองค์กรหลักของประเทศในการสร้างและจัดการความรู้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพไทย ได้จัดให้มีการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาระบบบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องการให้มีระบบการบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ที่เหมาะสม โดยให้จัดหาผู้เชี่ยวชาญมาดำเนินงานวิจัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ซึ่งได้มีการแต่งตั้ง "คณะกรรมการกำกับทิศทางโครงการวิจัยและพัฒนาระบบบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์" และประชุมติดตามผลการดำเนินงานมาเป็นระยะๆ ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ม.ค.2557 สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จัดประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2557 โดยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อคิดเห็น เข้าร่วมประชุม ณ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ห้องประชุมสุปัญญา สวรส. อาคารสุขภาพแห่งชาติ โดยการประชุมในครั้งนี้ เป็นการนำเสนอรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯ
นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้ สวรส. ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาระบบบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ ที่คาดหวังให้มีระบบบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน ภายใต้หลักการดำเนินงานแบบมีส่วนร่วม มีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยให้มีศูนย์ข้อมูลยาและเวชภัณฑ์ที่เชื่อมโยงข้อมูลระดับหน่วยบริการสุขภาพของ กสธ. ทุกระดับทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ตลอดจนสามารถนำข้อมูลสารสนเทศยาและเวชภัณฑ์มาใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการทางนโยบายด้านสุขภาพของผู้บริหารระดับกระทรวง ระดับเขต ระดับจังหวัด และระดับหน่วยบริการของ กสธ. ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ที่สำคัญจะต้องมีการออกแบบและพัฒนาระบบงานนำร่องโดยใช้เทคโนโลยี เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับการขยายงานและเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของประเทศในอนาคต
จากแนวคิดการทำระบบบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ (National Pharmaceutical Information System) ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ระบบ โดยศึกษาความต้องการของระบบเพื่อหาส่วนขาด พบปัญหาใน 3 ประเด็น คือ กระบวนการทำงานที่มีความแตกต่างกันในแต่ละโรงพยาบาล บุคลากร และโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายต่างๆ ดร.พรชัย ชันยากร นักวิจัยผู้รับผิดชอบจัดทำร่างข้อกำหนดทางเทคนิค โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบบริหารคลังยาและเวชภัณฑ์ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เสนอขอบเขตการวิจัย ประกอบด้วย 1.ขอบเขตงานวิจัยเชิงพื้นที่ ที่เริ่มจาก รพ.สต. ส่งข้อมูลไปยัง รพ.ชุมชน รพ.ทั่วไปหรือ รพ.ศูนย์ โดยมีจุดพักที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และส่งข้อมูลเข้ากระทรวงสาธารณสุข โดยมีพื้นที่ตัวอย่างนำร่องใน กระทรวงสาธารณสุข (ส่วนกลาง) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 4 แห่ง รพศ. 2 แห่ง รพท. 2 แห่ง รพช. 4 แห่ง รพ.สต. 8 แห่ง 2.ขอบเขตงานวิจัยที่แบ่งออกเป็น 2 ระยะ เพื่อเปรียบเทียบกัน สำหรับในระยะที่ 1 นั้น จะทำการทำวิจัยศึกษาที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างเพียง 1 เขตบริการสุขภาพและกระทรวงสาธารณสุข เพื่อศึกษาการรับส่งข้อมูลว่าเกิดปัญหาหรือไม่อย่างไร เพื่อหาวิธีการปรับเปลี่ยนการส่งข้อมูลที่สมบูรณ์ จากนั้นจะขยายการทำงานเข้าสู่ระยะที่ 2 ให้ครอบคลุมตามขอบเขตการวิจัย และ 3.ขอบเขตงานวิจัยที่ต้องดำเนินการ คือ ศึกษา วิเคราะห์ และออกแบบกระบวนการทางธุรกิจและติดตั้งกระบวนการทางธุรกิจใหม่ที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้สามารถทำงานได้ตามระบบงาน
สำหรับกรอบแนวคิดของระบบงาน แบ่งประเภทของโรงพยาบาลออกเป็น 3 ประเภท คือ หน่วยบริการ Type A ส่วนใหญ่เป็น รพศ. ซึ่งจะมีระบบสารสนเทศในโรงพยาบาล (HIS) ระบบบริหารคลังยา ระบบห้องจ่ายยา และระบบระเบียนผู้ป่วยติดตั้งและใช้งานอยู่ปัจจุบัน Type B หมายถึง รพช. ส่วนใหญ่มีระบบข้อมูลเวชเบียนผู้ป่วยและระบบ HIS ในบางเรื่อง แต่ไม่มีระบบบริหารคลังยาและระบบจ่ายยา แต่ใช้วิธีการเขียนลงกระดาษ และType C มีเพียงระบบออกบัตรประจำตัวผู้ป่วย และใช้วิธีการเขียนลงกระดาษ ซึ่งทั้ง 3 ประเภท ก็จะมีการออกแบบการเชื่อมต่อข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงาน รวมถึงมีสถาปัตยกรรมระบบที่ออกแบบให้เชื่อมโยงกับระบบสารสนเทศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อทำการเชื่อมข้อมูลมาตรฐานรหัสยา การเชื่อมต่อข้อมูลทั้งปริมาณยาและมูลค่าของยา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การจัดทำร่างข้อกำหนดทางเทคนิค โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบคลังยาและเวชภัณฑ์ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาและแก้ไขปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์ โดยจะมีการติดตามและประชุมอย่างต่อเนื่องต่อไป
ทางด้าน ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า ระบบบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ มีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางนโยบายสุขภาพ การติดตาม ประเมินผล และการตัดสินใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรองรับสถานการณ์การเฝ้าระวังโรคติดเชื้อหรือผลจากการเลื่อนไหลของประชาคมในภูมิภาคอาเซียน ปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญเหล่านี้จึงต้องอาศัยหลักฐานสนับสนุนทางวิชาการที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาสุขภาพในปัจจุบันและอนาคต เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลจากสถาบันหลักด้านสุขภาพและทะเบียนราษฎร์ให้เป็นหนึ่งเดียว
"สวรส. จึงได้ทบทวนระบบการจัดเก็บข้อมูลและรายงานต่างๆ ภายใต้การมุ่งบรรลุเป้าหมายของการพัฒนายุทธศาสตร์ระบบสารสนเทศของระบบสุขภาพแห่งชาติให้เป็นหนึ่งเดียวให้ได้ โดย 1) รวบรวมระบบสารสนเทศย่อยทั้งหมด 2) จัดทำระบบข้อมูลคลังยาและเวชภัณฑ์ 3) จัดตั้งหน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุขและ 4) ทำให้เกิดศูนย์สารสนเทศด้านสุขภาพแห่งชาติ" ผอ.สวรส. กล่าว
ภาพอนาคตที่ สวรส. ต้องการเห็น คือ ระบบสารสนเทศของระบบสุขภาพที่ได้จากฐานข้อมูลรายบุคคลของประชาชนชาวไทยทุกคน เชื่อมโยงกับข้อมูลการรักษา ยาและเวชภัณฑ์ แพทย์และบุคลากรที่ร่วมรักษา และฟื้นฟูสภาพ สร้างความมั่นใจในการเข้าถึงระบบบริการ สร้างความเชื่อมั่นว่าได้รับการดูแลรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพ และสร้างหลักประกันด้านสุขภาพให้แก่คนไทยทุกคน
---------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณข้อมูล http://www.hsri.or.th/news/1389