ปลดล็อคงานวิจัยลงจากหิ้ง

สวทน.หนุนเอกชนจับมือมหาวิทยาลัยพัฒนาขีดความสามารถผ่านโครงการ Talent Mobility นำคนเก่งไปช่วยภาคอุตสาหกรรม ปลดล็อคคำกล่าวที่ว่าทำวิจัยแล้วขึ้นหิ้ง อาจารย์ ม.อ.ย้ำสมองไม่ไหล เพราะยังทำงานวิชาการ-ทุกฝ่ายได้ประโยชน์

 

(วันที่ 27 มี.ค.) ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ขณะนี้เอกชนไทยให้ความสนใจลงทุนด้านการทำวิจัยในองค์กรของตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก และสิ่งที่เราต้องสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม คือ กำลังคน ที่มหาวิทยาลัยต่างๆ จะต้องเข้ามาสนับสนุน หากเราสามารถบริหารจัดการกำลังคนของภาครัฐให้สามารถเลื่อนไหลไปในภาคอุตสาหกรรมได้ จะทำให้ภาพรวมทั้งระบบของการพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมของประเทศไทยดีขึ้น ส่วนกลไกที่จะทำให้เกิดการเลื่อนไหลกำลังคนจากมหาวิทยาลัยเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม คือ Talent Mobility เป็นการเอาคนเก่งไปช่วยภาคอุตสาหกรรม โดยการทำความร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลับกับภาคอุตสาหกรรม ที่ให้นักวิชาการ นักวิจัยไปช่วยงานในภาคอุตสาหกรรมเต็มเวลา ช่วงเวลา3 เดือน 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปี ซึ่งจะทำให้เกิดชิ้นงาน และยังเป็นการปลดล็อคที่ว่าทำวิจัยแล้วขึ้นหิ้ง มีแต่ชัยชนะที่นักวิจัย เอกชน มหาวิทยาลัย หรือสถาบันของรัฐต่างได้รับประโยชน์ร่วมกัน

รศ.พีระพงศ์ ทีฆสกุล รองอธิการบดีฝ่ายระบบวิจัยและบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวว่า ม.อ. ถือเป็นมหาวิทยาลัยแรกที่ทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างเป็นระบบตามหลักการ Talent Mobility โดยมหาวิทยาลัยจะมีระเบียบให้อาจารย์ไปทำงานเต็มเวลาได้ในสถานประกอบการ ในเวลาสูงสุด 2 ปี โดยทำสัญญากับทางมหาวิทยาลัยครั้งละ 1 ปี แต่อาจจะมีการยืดหยุ่นไม่อยู่เต็มเวลาก็ได้ ขึ้นอยู่กับการคุยกับทางบริษัทหรือผู้ประกอบการ และทางบริษัทหรือผู้ประกอบการจะจ่ายค่าตอบแทนให้ทางมหาวิทยาลัย ซึ่งทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์ และไม่ถือว่าเป็นโครงการสมองไหล เพราะเขายังไหลอยู่ในสายงานวิชาการ

---------------------------------

ขอขอบคุณข้อมูล http://www.dailynews.co.th/Content/education/226095/ปลดล็อคงานวิจัยลงจากหิ้ง