ดัน “ยาต้านมาลาเรีย” ไทยสังเคราะห์เอง ลงทดลองระดับคลินิก

มาลาเรีย” สำหรับเชื้อดื้อยา ที่ผ่านการทดลองความเป็นพิษในสัตว์ และมั่นใจว่ายาได้ผล เหลือเพียงการทดลองระดับคลินิกก่อนได้ใช้จริง เตรียมลงนามความร่วมมือกับกองทุนยาต้านมาลาเรียจากเจนีวาในงานประชุมวิชาการที่ไทยเป็นเจ้าภาพ 1 พ.ค. นี้
       ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนายาต้านมาลาเรียของไทย และเป็นผู้นำทีมวิจัยในการพัฒนาสารต้านมาลาเรียชนิดใหม่ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยว่า ขณะนี้ทีมวิจัยได้พัฒนาสารต้านมาลาเรียมากว่า 10 ปี ซึ่งเป็นสารเคมีสังเคราะห์ชื่อ P218 ที่ผ่านการทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการและความเป็นพิษของยาในสัตว์ทดลองแล้ว และตอนนี้เตรียมทดสอบในระดับพรีคลินิก
       ทั้งนี้ สวทช. จะลงนามความร่วมมือกับกองทุนยามาลาเรีย (Medicine for Malaria Venture: MMV) จากเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ในการลงทุนวิจัยยาต้านมาลาเรียดังกล่าวให้ได้รับการทดสอบระดับพรีคลินิก ภายในการประชุมวิชาการมาลาเรียโลก (World Malaria Conference 2014) ประจำปี 2557 ที่ สวทช.เป็นเจ้าภาพจัดงานในวันที่ 1 พ.ค. 57 เวลา 09.00-12.00 น. ณ โรงแรมเซ็นจูรีปาร์ก 
       สำหรับสาร P218 นั้น ดร.ยงยุทธ อธิบายว่า เป็นสารสังเคราะห์ที่ได้จากการศึกษาโครงสร้างเอนไซม์ของเชื้อมาลาเรีย DHFR ซึ่งหลังจากตกผลึกเอนไซม์ดังกล่าวแล้วส่องดูโครงสร้างด้วยรังสีเอ็กซ์ จึงได้ออกแบบโครงสร้างยาที่สามารถจับกับเอนไซม์ดังกล่าว เพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์และทำลายเชื้อมาลาเรียในที่สุด
       ทั้งนี้ มาลาเรียมียุงก้นปล่องเป็นพาหนะ ซึ่งมีเชื้อมาลาเรียทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ มาลาเรียสายพันธุ์ฟัลซิปารัม (Plasmodium falciparum) ซึ่งเป็นเชื้อที่มีการติดในไทยและส่วนอื่นๆ ในโลกมากที่สุด สายพันธุ์ไวแวกซ์ (P. vivax) ซึ่งมีการติดเชื้อรองลงมา สายพันธุ์โอวาเล่ (P. ovale) และสายพันธุ์มาลาริอี (P. malariae)
       สำหรับ P218 ยาต้านมาลาเรียที่ทีมนักวิจัยสังเคราะห์ขึ้นมาได้นี้ให้ผลดีในการยับยั้งมาลาเรียสายพันธุ์ฟัลซิปารัมมากที่สุด และเป็นสายพันธุ์ที่มีการดื้อยามากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการติดเชื้อมาลาเรียจากลิงสู่คน คือ เชื้อมาลาเรียสายพันธุ์โนซี่ (P. knowlesi)
       ดร.สุมาลี กำจรวงศ์ไพศาล ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หนึ่งในทีมวิจัย แสดงความมั่นใจว่าสารต้านมาลาเรียจะได้ผลจนพัฒนาเป็นยาได้ แต่หากไม่สำเร็จจริงๆ ก็ยังมีงานวิจัยพื้นฐานสำรองไว้อีก และมีการพัฒนาตัวยาต้านมาลาเรียอื่นๆ ควบคู่มาด้วย 
       ด้าน ดร.ยงยุทธ เสริมว่า จากสถิติทั่วโลก การค้นพบสารที่มีคุณสมบัติทางยาใดๆ ในจำนวนสาร 10,000 ตัว จะมีเพียง 1 ตัว ที่มีศักยภาพในการผลิตเป็นยาได้ ซึ่งเงื่อนไขแรกในการคัดเลือกสารเป็นยา คือต้องสามารถฆ่าเชื้อได้โดยใช้เพียงปริมาณน้อยๆ เพื่อผู้ป่วยไม่ต้องกินยาในปริมาณมาก
       ส่วนเกณฑ์ในการพัฒนายาต้านมาลาเรียครั้งนี้ ดร.ยงยุทธ แจกแจงว่า อันดับแรกต้องเป็นยาที่ต้านเชื้อดื้อยาได้ และต้องเป็นยากิน เพราะในประเทศยากจนจะขาดแคลนแพทย์ผู้ฉีดยาให้ผู้ป่วย และเนื่องจากมาลาเรียเป็นโรคของคนจน ดังนั้น ยาที่ผลิตได้ต้องไม่แพงมาก
       “เราผ่านจุดนี้มาหมด ผ่านการทดสอบความเป็นพิษในสัตว์ และที่สำคัญคือใช้ได้ผลกับเชื้อดื้อยา ขั้นต่อไปคือทดสอบให้ชัดเจนในแง่ประสิทธิผลเมื่อใช้กับคน ซึ่งในการทดสอบระดับคลีนิคนี้ไทยเรามีความเชี่ยวชาญมาก ในการทดสอบอาจเริ่มจากคนประมาณ 20 คน เพื่อดูความเป็นพิษ จากนั้นขยับเป็น 100-200 คน แล้วจึงขยับเป็นระดับใหญ่หลายพันคน และที่สุดอาจนำไปทดสอบที่อื่นของโลกด้วย” ดร.ยงยุทธกล่าว 
       อย่างไรก็ดี นอกจากการร่วมทุนวิจัยสารต้านมาลาเรียกับไทยแล้ว ทางกองทุนยามาลาเรียจากเจนีวายังมีความร่วมมือและร่วมลงทุนในการพัฒนายาต้านมาลาเรียกับแอฟริกาใต้ด้วย ส่วนไทยเองยังมีงานวิจัยพัฒนายาต้านมาลาเรียที่โจมตีเชื้อมาลาเรียที่เป้าหมายอื่น คือ เอนไซม์ DHPS โดยกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา

ดัน “ยาต้านมาลาเรีย” ไทยสังเคราะห์เอง ลงทดลองระดับคลินิก
ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผอ.สวทช. และ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ กับตัวอย่างโครงสร้างยาต้านมาลาเรีย (ในมือ) และโครงสร้างเอนไซม์เป้าหมายในการโจมตี (ในกล่อง)
ดัน “ยาต้านมาลาเรีย” ไทยสังเคราะห์เอง ลงทดลองระดับคลินิก
โครงสร้างเอนไซม์เป้าหมายในการโจมตี
ดัน “ยาต้านมาลาเรีย” ไทยสังเคราะห์เอง ลงทดลองระดับคลินิก
ดร.สุมาลี กำจรวงศ์ไพศาล. ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หนึ่งในทีมวิจัย

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000044166