นักวิชาการโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย สกว. ชี้เหตุธรณีพิบัติเชียงรายยังไม่ใช่เหตุร้ายแรงที่สุด แต่เป็นบทเรียนที่จำเป็นต้องเตรียมข้อมูลเพื่อรับมือภัยพิบัติในอนาคต โจทย์ใหญ่ขณะนี้คือ ออกแบบอาคารใหม่ให้ต้านทานแผ่นดินไหว ขณะเดียวกันก็เสริมกำลังอาคารเก่ารวมทั้งอาคารขนาดกลางและเล็ก พร้อมเร่งเสนอทบทวนกฎหมายให้ครอบคลุมอาคารบ้านเรือนขนาดเล็กด้วย
9 พฤษภาคม 2557 – สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ศ. นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นประธานแถลงข่าวเอง “วิเคราะห์แผ่นดินไหวภาคเหนือและการสร้างมาตรการป้องกันและตั้งรับในระดับภาพรวมของประเทศ” ณ ห้องประชุม สกว. เพื่อรายงานสถานการณ์และวิเคราะห์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ให้สื่อมวลชนได้รับทราบถึงพื้นที่เสี่ยงภัย รอยเลื่อนที่มีพลัง และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาคำนวณขนาดของแผ่นดินไหว ประเมินความเสี่ยงของโครงสร้างอาคารต่าง ๆ รวมทั้งการเสริมความแข็งแกร่งและมาตรการการป้องกัน ตลอดจนข้อเสนอแนะในการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างเก่าให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
รศ. ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย นักวิชาการจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เปิดเผยว่า การเกิดแผ่นดินไหวที่เชียงรายยังไม่นับเป็นแผ่นดินไหวที่ร้ายแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะจากสถิติการแผ่นดินไหวที่เคยตรวจวัดได้ในประเทศไทย พบว่ามีความแรงมากที่สุด 6.5 ริกเตอร์ ที่จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2478 ขณะที่พม่าซึ่งอยู่ใกล้เชียงรายมีความรุนแรงอยู่ที่ 6.8 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2554 ในอนาคตอาจเกิดความรุนแรงและเสียหายมากกว่านี้ถ้าเกิดใกล้กับเมืองใหญ่ อย่างไรก็ตามจากการลงสำรวจสภาพความเสียหาย ณ จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่แม่ลาว จ.เชียงราย และพื้นที่ต่าง ๆ โดยเน้นอาคารที่อ่อนแอต่อแรงแผ่นดินไหว พบว่าเป็นบทเรียนความเสียหายที่จะต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติและองค์ความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไว ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ที่ผ่านมาคณะวิจัยได้ศึกษาโครงการภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทย ระยะที่ 1-2 ภายใต้การสนับสนุนของ สกว. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหวของประเทศไทย ให้ได้หลักฐานข้อมูลอันนำไปสู่การจัดทำนโยบายและวางมาตรการป้องกัน รวมถึงจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว ซึ่งจากการศึกษาเปรียบเทียบกับการกระจายของแผ่นดินไหวพบว่าส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคเหนือฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ยังต้องคิดคำนึงถึงแผนที่เสี่ยงภัย การเคลื่อนไหวตามรอยเลื่อนทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นจากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาและกรมทรัพยากรธรณี จัดทำมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว โครงการจัดทำแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร ตลอดจนศึกษาปัญหาสภาพดินอ่อนในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถขยายความแรงได้มากกว่าปกติถึง 3-4 เท่า ศึกษาการเพิ่มความรุนแรงของแผ่นดินไหวเนื่องมาจากสภาพดินอ่อนในกรุงเทพฯ และเชียงรายซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงกฎกระทรวง รวมถึงการศึกษาคุณสมบัติเชิงพลศาสตร์ของอาคารและคุณลักษณะเฉพาะของชั้นดินเพื่อการแบ่งเขตความรุนแรงของแผ่นดินไหวอย่างละเอียดในจังหวัดเชียงใหม่ กาญจนบุรี และเชียงราย ทำให้ทราบว่าบริเวณลุ่มแม่น้ำปิงเป็นแผ่นดินอ่อน สั่นแรงกว่าที่อื่นถ้ามีแผ่นดินไหว การศึกษาการโยกตัวของอาคารสูงในกรุงเทพฯ การทดสอบโครงสร้างพื้น-เสาของอาคารภายใต้แรงแผ่นดินไหว ซึ่งนำไปสู่การพัฒนามาตรฐานทางวิศวกรรมและกฎกระทรวงต่าง ๆ ล่าสุดประเมินผลกระทบแผ่นดินไหวที่มีต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
รศ. ดร.เป็นหนึ่งระบุว่า หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในกรุงเทพฯ อาจมีผลกระทบต่ออาคาร 10 หลัง ซึ่งมีความสูงระหว่าง20-40ชั้น โดยปัญหาสำคัญคืออาคารที่มีอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ จำนวนมากไม่สามารถต้านทานแผ่นดินไหวที่รุนแรง ตัวอย่างเช่น ตึกแถว ห้างร้านต่าง ๆ อาจมีการโยก เสาชั้นล่างหักโค่น จึงนำไปสู่โจทย์วิจัยการประเมินระดับความต้านทานแผ่นดินไหวของอาคารต่าง ๆและปรับปรุงอาคารให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหว ทั้งนี้ผลจากงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ทำให้คณะวิจัยมีความรู้ในแต่ละด้านดีขึ้น เป็นเสมือนจิกซอว์ที่นำมารวมกันเพื่อให้มีการจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำลังยกร่างกฎกระทรวงเสริมกำลังอาคารที่มีอยู่ให้ต้านทานแผ่นดินไหวได้ดีขึ้น รวมถึงการยกร่างมาตรฐานควบคู่กันไป
ด้าน รศ. ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ มหาวิทยาลัยทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ระบุว่า โจทย์วิจัยขณะนี้คือ ออกแบบอาคารใหม่ให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้ในระดับที่เหมาะสม เสริมกำลังอาคารเดิมให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้ดีขึ้น วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้เมืองและโครงสร้างพื้นฐานสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยจัดทำแบบจำลองในห้องปฏิบัติการเพื่อหามาตรการรับมือ ซึ่งพบว่าคานส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความเสียหายมากเท่ากับเสา ทำให้เกิดความเสียหายแบบชั้นอ่อน เช่น ผนังก่ออิฐที่แยกตัวจากเสา ทั้งนี้ได้รวบรวมข้อมูลไปจัดทำคู่มือสำหรับวิศวกร เช่น การเสริมกำลังเฉพาะที่ ทั้งเสริมเสาเฉพาะจุด พอกเสาให้ใหญ่ขึ้น หรือการเสริมกำลังโดยรวมทั้งระบบ เช่น คาน-เสาในลักษณะค้ำยันทำให้โครงอาคารทั้งโครงมีกำลังเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะต้องประเมินจุดอ่อนเพื่อให้ทราบว่าต้องใช้การเสริมกำลังด้วยวิธีใดและใช้งบประมาณเท่าใด
ขณะที่ รศ. ดร.อมร พิมานมาศ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติ สิรินธร กล่าวว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ไม่เกิน 6 ริกเตอร์ แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ชี้ว่ามีความรุนแรงที่ทำให้เกิดความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือน และสร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชน ซึ่งผู้วิจัยได้จัดลำดับความเสียหายและสอนให้ อบต.ทราบเป็นหลักว่าโครงสร้างความเสียหายแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ 1) ระดับเล็กน้อย เช่น รอยร้าวในผนัง เข้าไปอยู่ได้ทันทีหลังเกิดเหตุ 2) ระดับปานกลาง ที่ความเสียหายกินเข้าไปในโครงสร้างของอาคาร เช่น คาน เสา และเริ่มมีความน่าเป็นห่วง 3) ระดับรุนแรง รอยร้าวกระจายไปทั่ว คอนกรีตกะเทาะหลุดออกมา เหล็กเสริมเสียรูป ทำให้โครงสร้างถล่มได้ถ้าเกิดอาฟเตอร์ช็อค และ 4) พลังถล่มโดยสิ้นเชิง ทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ ทั้งนี้จากการประเมินความเสียหายในครั้งนี้พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 2-3 ซึ่งยังพอซ่อมแซมได้ ประชาชนสามาถกลับเข้าไปพักอาศัยในอาคารได้แต่ต้องเร่งรีบซ่อมแซมเพราะยังมีอาฟเตอร์ช็อคตามมาเป็นระยะ พร้อมกันนี้ได้เสนอวิธีแก้ไขอย่างง่ายและราคาถูก เช่น เสริมความแข็งแกร่งให้กำแพงอิฐโดยใช้ลวดโครงไก่
สำหรับกรุงเทพฯ นับว่าเป็นความโชคดีที่แผ่นดินไหวอยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ เพียงแค่ทำให้เกิดการรับรู้แต่ไม่ได้สร้างอันตรายความเสียหาย อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่ากรุงเทพฯ ยังมีรอยเลื่อนใกล้ๆ คือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ใน จ.กาญจนบุรีที่เชื่อมกับรอยเลื่อนสะแกงในพม่า จึงต้องระมัดระวัง เพราะเป็นเมืองใหญ่ ผลกระทบรุนแรง ด้วยเหตุนี้อาคารที่จะก่อสร้างใหม่ต้องออกแบบตามากฎกระทรวงปี 2550 อาคารเก่าก่อนหน้านี้ต้องตรวจสอบและประเมินอาคาร ทั้งนี้จะมีกฎกระทรวงใหม่ออกมาในอนาคต สำหรับอาคารที่มีความเสี่ยง คือ ตึกแถวที่มีเสาเล็กหรือคานเล็กเสาใหญ่ อาคารพื้นท้องเรียบไร้คาน เช่น อาคารจอดรถที่ไม่ได้มาตรฐาน อาคารหรือบ้านเดี่ยวที่ก่อสร้างด้วยระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป ตึกสูงดีไซน์แปลก ๆ ทางแก้ปัญหาคือต้องพยายามเน้นที่เสา โดยปัญหาของการก่อสร้างในบ้านเราคือ เสาใส่เหล็กปลอกน้อยเกินไป จึงต้องเสริมกำลังโครงสร้างด้วยแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ แต่หากเป็นบ้านหลังเล็กอาจใช้ลวดโครงไก่ และฉาบปูนให้เสามีขนาดใหญ่ขึ้น หรือใช้แผ่นเหล็กหุ้มและตอกปูนลงไปเพื่อให้เสาแข็งแรงขึ้นและโยกตัวได้โดยที่โครงสร้างเสาไม่เกิดความเสียหาย รวมถึงการเทคอนกรีตขยายเสาให้ใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์ครั้งนี้มีอาคารขนาดกลางและเล็กได้ผลกระทบจำนวนมาก คณะวิจัยจึงได้ขอให้มีการทบทวนกฎหมายให้ครอบคลุมถึงอาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร เพราะมีความเสี่ยงต่อความเสียหายจากแผ่นดินไหวเช่นกัน และบรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนด้านการต้านทานแผ่นดินไหวในระดับปริญญาตรีด้วย
ส่วน ผศ. ดร.ภาสกร ปนานนท์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่ามีบางแนวในภูเก็ตที่มีลักษณะของรอยเลื่อนที่วางตัวอยู่ข้างใต้ รวมทั้งอีกหลายเมืองที่อยู่บนรอยเลื่อน แต่เรายังไม่ได้ให้ความสำคัญในการศึกษาความเสี่ยงและการรับมือ จึงนับเป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศไทย สิ่งที่เป็นกังวลจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติที่เชียงราย คือ อาฟเตอร์ช็อคเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งคณะวิจัยยังไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด อาจเป็นแรงกระทำต่อรอยเลื่อนที่ทำให้มีการขยับตัวมากขึ้น
ศ. นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. (ขวา)
รศ. ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย
รศ. ดร.อมร พิมานมาศ
ภาพบรรยากาศ
เรียบเรียงเนื้อหา: นิธิปรียา จันทวงษ์
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ http://www.trf.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=4269:2014-05-09-09-42-29&catid=44:2013-11-25-06-49-47&Itemid=369