ความยืดหยุ่นของยาพาราทำให้สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย แต่ข้อจำกัดก็มีอยู่มากเช่นกัน โดยเฉพาะการเติมแอมโมเนียอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ต่อผิวหนังได้ ทำให้ยังไม่มีผู้ประกอบการนำมาใช้กับผิวหนัง หรือผิวหน้า ทั้งๆ ที่นำมาแปรรูปเป็นเวชสำอางได้ ถึงคราวทีมวิจัยคิดค้นพัฒนาน้ำยางเพื่อเวชสำอาง และทางการแพทย์ ลดนำเข้าหลายล้านบาทต่อปี
ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร.ภก.วิวัฒน์ พิชญากร คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์
ครั้งแรกกับการนำน้ำยางพารามาแปรรูปเป็นเวชสำอาง ที่จากเดิมยังไม่มีใครกล้านำมาทำเพราะก่อให้เกิดอาการแพ้จากแอมโมเนีย และโปรตีนจากน้ำยาง มาวันนี้ทีมนักวิจัย นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภก.วิวัฒน์ พิชญากร และรองศาสตราจารย์ ดร.ภญ.ประภาพร บุญมี คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ร่วมกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิรัช ทวีปรีดา คณะวิทยาศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ช่วยระดมสมองในการทำให้น้ำยาพาราปลอดภัยต่อผิวหนังมนุษย์ โดยเฉพาะใบหน้า
ปัญหาหลักของน้ำยางพารา คือ แอมโมเนียที่ต้องใส่ลงในน้ำยางเข้มข้น ซึ่งไม่เหมาะกับการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม และไม่มีการกำจัดโปรตีนออกซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ได้ ดั้งนั้นทีมนักวิจัยจึงเริ่มต้นพัฒนากระบวนการกำจัดโปรตีนออกโดยใช้เอนไซม์ช่วยย่อยสลายโปรตีน และใช้สารรักษาสภาพและสารกันเสียชนิดที่สามารถใช้ทางเภสัชกรรมได้ ซึ่งสารรักษาสภาพนี้ยังสามารถช่วยละลายโปรตีนออกจากเนื้อยางได้อีกด้วย
เมื่อทีมวิจัยสามารถขจัดอุปสรรคของน้ำยางพาราได้แล้ว จึงพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมชนิดแรกที่ทีมนักวิจัยพัฒนาขึ้น คือ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภท มาสก์พอกหน้า และ แผ่นลอกสิวเสี้ยน
แผ่นแปะแผลโครงสร้างความพรุนสูง
“ผลิตภัณฑ์แรกที่ทีมนักวิจัยทำขึ้น คือ เครื่องสำอาง เพราะเราคิดว่าเป็นสิ่งที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและได้รับความสนใจ รวมถึงยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้วัตถุดิบได้เป็นอย่างดี โดยผู้บริโภคเต็มใจที่จะจับจ่ายกับสินค้าประเภทนี้เพื่อความสุขของตนเอง จากคุณสมบัติของน้ำยางที่สามารถแห้งเป็นแผ่นฟิล์มบางที่เหนียวติดผิวหนังได้ และมีความยืดหยุ่นมากเมื่อดึงลอกออกจะไม่ฉีกขาด ซึ่งผลงานนี้เราได้จดสิทธิบัตรแล้ว”
ต่อมาทีมวิจัยได้พัฒนาเป็น เครื่องสำอางกำจัดขน ในรูปแบบของเหลวเหนียวข้น ที่สามารถทาลงบนบริเวณที่มีขนโดยตรง แล้วปิดทับด้วยวัสดุอื่นๆ ของเหลวหนืดข้นนี้จะแห้งและจับตัวเป็นฟิล์มยึดขนให้ติดกับวัสดุยึดที่ปิดทับลงไปเพิ่มเติม โดยจดเป็นอนุสิทธิบัตรในหัวข้อ “เครื่องสำอางกำจัดขนที่มีน้ำยางธรรมชาติกำจัดโปรตีนเป็นส่วนประกอบ” ถัดมาได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางยา ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์นิโคตินสำหรับคนที่ต้องการเลิกบุหรี่ ในช่วงเริ่มต้นของการลดบุหรี่ เพื่อให้นิโคตินเข้าสู่ร่างกายทดแทนนิโคตินจากการสูบบุหรี่ ทำให้ลดอาการกระวนกระวายจากการอยากบุหรี่ได้ โดยทีมงานพัฒนาเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ หมากฝรั่งเคี้ยว แผ่นแปะผิวหนังชนิดผสมยาในเนื้อยาง แผ่นแปะผิวหนังชนิดถุงกักเก็บยา และสารละลายผสมน้ำยางที่สามารถแห้งเป็นฟิล์มบนผิวหนังได้เอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 รูปแบบนี้สามารถควบคุมให้นิโคตินปลดปล่อยออกจากผลิตภัณฑ์และดูดซึมเข้าร่างกายได้ในอัตราที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้ และมีความแตกต่างกันในแต่ละรูปแบบผลิตภัณฑ์
แผ่นแปะไล่ยุง มีกลิ่นของตะไคร้จากธรรมชาติ
นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้แก่ แผ่นแปะบรรจุยาชา ที่เตรียมจากน้ำยางกำจัดโปรตีนผสมแป้งหลายชนิด สำหรับใช้แปะลดอาการปวดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง หรือการใช้น้ำยางในการเคลือบยาเม็ดเพื่อควบคุมการปลดปล่อยยาออกจากเม็ดยา รวมถึงการพัฒนาการเปลี่ยนรูปแบบยางแห้งเป็นยางน้ำในรูปซูโดลาเท็กส์ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบทางเภสัชกรรมชนิดที่มีน้ำเป็นพื้นฐานในกระบวนการผลิตอีกด้วย
ผลงานวิจัยเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนทุนจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมหาวิทยาลัยต่างๆ ทำให้นักวิจัยสามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้สำเร็จหลายรูปแบบ และมีการส่งเสริมให้พัฒนาต่อไปเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ
http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000064754