(8 ต.ค. 58) จ.พระนครศรีอยุธยา - ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะได้เข้าเยี่ยมชมการดำเนินงาน “โครงการ“ขยายผลการผลิตและการใช้งานราบิวเวอเรีย” ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ และสหกรณ์การเกษตรผักไห่ จำกัด และเครื่องสีข้าวขนาดเล็ก ที่ทาง สวทช. โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ดำเนินการขึ้น เพื่อสนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของชุมชน
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า “กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เล็งเห็นความสำคัญของชุมชนชนบท ซึ่งเป็นรากฐานของคนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงมีการส่งเสริมการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละชุมชน โดยได้จัดทำ โครงการ“ขยายผลการผลิตและการใช้งานราบิวเวอเรีย” เพื่อเป็นการสนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนจัดตั้งศูนย์ผลิตหัวเชื้อราบิวเวอเรีย เพื่อส่งให้แก่กลุ่มเกษตรกรบ้านนาคูนำไปผลิตเป็นก้อนเชื้อราบิวเวอเรีย สำหรับใช้ในกลุ่ม และเพื่อจำหน่าย
พี้นที่ ต.ผักไห่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพื้นที่ที่ประสบกับปัญหาน้ำท่วมในทุกๆ ปี เนื่องจากเป็น “พื้นที่แก้มลิง” เกิดผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหายมากเมื่อประสบภาวะน้ำท่วม ซึ่ง สวทช. โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว ได้พัฒนาพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน มาให้เกษตรกรปลูก และร่วมกับสหกรณ์การเกษตรผักไห่ จำกัด ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งข้าวเปลือกหอมชลสิทธิ์ผ่านการทำความสะอาดขัดสีอบลดความชื้นเพื่อคงสภาพความหอมและนุ่มก่อนบรรจุถุงภายใต้เครื่องหมายการค้า “อ่อนหวาน” จำหน่ายปลีกและขายส่ง โดยในปี 2557มีพื้นที่ปลูกเมล็ดพันธุ์ข้าวสายพันธุ์หอมชลสิทธิ์ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ไม่ต่ำกว่า 2,349 ไร่ ได้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์รวม 357 ตัน ผลผลิตข้าวเปลือกรวม 1,401 ตัน สามารถสร้างมูลค่าผลผลิตกว่า 21 ล้านบาท ซึ่งในปี 2554 แปลงนายังได้รับความเสียหายจากเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดทำความเสียหายประมาณร้อยละ 80 ในจำนวนนี้แปลงนาร้อยละ 14 เสียหายทั้งหมด ประเมินมูลค่าความเสียหายปีละไม่ต่ำกว่า 124 ล้านบาท
จากปัญหาความเสียหายนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สวทช. โดย ไบโอเทค ได้ศึกษาและวิจัยเชื้อราที่ก่อโรคในแมลงเพื่อนำมาใช้ในการควบคุมศัตรูพืช ซึ่ง “เชื้อราบิวเวอเรีย” มีคุณสมบัติทำลายแมลงหลายชนิด เช่น เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยอ่อน เป็นต้น และสามารถควบคุมและกำจัดศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (มทร.สุวรรณภูมิ) สำนักงานเกษตรอำเภอผักไห่ และสหกรณ์การเกษตรผักไห่ จำกัด นำมาใช้และถ่ายทอดในการผลิตเชื้อบิวเวอเรียที่สามารถใช้ป้องกันและกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล สู่ชุมชนบ้านนาคู และผลักดันให้บ้านนาคู เป็น “หมู่บ้านบิวเวอเรีย” ต้นแบบหมู่บ้านแม่ข่าย ในการผลิตเชื้อบิวเวอเรีย ซึ่งสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรปีละ 40,000 บาท และลดการเข้าจากต่างประเทศ
ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การดำเนินงานนี้ สวทช. ในฐานะผู้พัฒนาเทคโนโลยีทำหน้าที่ส่งมอบเชื้อตั้งต้นของราบิวเวอเรียจากห้องปฏิบัติการไบโอเทค ให้แก่ มทร.สุวรรณภูมิ ซึ่งรับเป็นศูนย์ผลิตหัวเชื้อราบิวเวอเรีย เพื่อส่งให้แก่กลุ่มเกษตรกรบ้านนาคูนำไปผลิตเป็นก้อนเชื้อราบิวเวอเรีย สำหรับใช้ในกลุ่ม และเพื่อจำหน่าย โดยมีสหกรณ์การเกษตรผักไห่ จำกัด เป็นผู้แทนจำหน่ายก้อนเชื้อราบิวเวอเรียให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ ในราคาก้อนละ 40 บาท สามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มรวมพลังเกษตรชีวภาพบ้านนาคู ถึงปีละ 40,000 บาท ซึ่ง ไบโอเทค / สวทช. ได้ร่วมมือกับสำนักงานเกษตรอำเภอผักไห่ ส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถใช้เชื้อราบิวเวอเรียเพื่อควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้เกษตรกรบ้านนาคูสามารถทำการเกษตรแบบชีวภาพได้อย่างยั่งยืน คาดว่าจะสามารถลดความเสียหายของผลผลิตข้าวลงได้ถึงร้อยละ 70 หรือมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท โดยขณะนี้มีเกษตรกรในอำเภอผักไห่นำเอาเชื้อราบิวเวอเรียไปใช้แล้วกว่า 3,000 ไร่ เมื่อคิดต้นทุนโดยเฉลี่ยแล้ว ปกติเกษตรกรจะเสียค่าใช้จ่ายสำหรับค่าสารเคมีฆ่าแมลงประมาณ 300 บาท/ไร่/รอบการปลูก แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้เชื้อราบิวเวอเรียในการกำจัดแมลงศัตรูพืช พบว่าเกษตรกรจะเสียค่าใช้จ่ายเพียง 60 บาท/ไร่/รอบการปลูกเท่านั้น
นอกจากนี้ยังนำเครื่องสีข้าวขนาดเล็กพัฒนาโดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กำลังการผลิตประมาณ 150-200 กก.ข้าวเปลือก/ชั่วโมง สามารถสีแปรรูปข้าวได้ทั้งข้าวกล้อง และข้าวขาว โดยที่เกษตรกรเลือกใช้งานได้ตามต้องการ ไม่ต้องเสียเวลากับการไปรอสีข้าวหรือเปลี่ยนข้าวกับโรงสีขนาดใหญ่ และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้งานเครื่องสีข้าวสีแปรรูปข้าวเปลือกของตนเองเป็นข้าวกล้อง และข้าวสารเพื่อการจำหน่าย หรือการรับจ้างสีได้ มูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 2,000-3,000 บาท/ตัน (คิดคำนวณในลักษณะการรับจ้างสีข้าว) นอกจากนี้ยังได้ออกแบบให้สามารถใช้อะไหล่ชิ้นส่วน กว่า 80% ที่สามารถซ่อมแซมได้ง่ายตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น สายพาน น็อต ลูกกระพ้อ ลูกยางกะเทาะเปลือก ฯลฯ และใช้มอเตอร์ต้นกำลังรวม 8.5 แรงม้า แบบซิงเกิลเฟส สามารถใช้ได้กับไฟฟ้าตามบ้านทั่วไป ทำให้มีต้นทุนค่าไฟฟ้าในการใช้งานต่ำ” ทั้งนี้ ยังได้สร้างเครื่องแยกข้าวเปลือกและ ข้าวกล้องมาใช้ร่วมกับเครื่องสีข้าวดังกล่าว เพื่อให้ได้ข้าวกล้องที่สะอาด ไม่มีข้าวเปลือกปน พร้อมนำไปบรรจุขายได้ทันที ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างสีข้าวของสหกรณ์ จำนวน 4 แสนบาทต่อปี สร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้เกษตรกร ช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรในประเทศให้มีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์เครื่องสีข้าวขนาดเล็กให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีราคาที่เหมาะสมสำหรับจำหน่ายในชุมชนเกษตรกร และช่วยลดการนำเข้าเครื่องสีข้าวขนาดเล็กจากต่างประเทศ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพ